Vivo V29e สมาร์ทโฟนมิดเรจน์รุ่นใหม่ล่าสุดจากตระกูล V Series ของค่าย Vivo ที่คราวนี้มาพร้อมจุดเด่นตัวเครื่องบางเบา ด้วยความหนาเพียง 7.6 มิลลิเมตร หนักเพียง 181 กรัม ด้านหน้าติดตั้งหน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ขอบโค้ง ความกว้าง 6.78 นิ้ว คมชัดระดับ FHD+ รีเฟรชเรท 120Hz รองรับการแสดงผล HDR10+
ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 13 ใช้ชิปประมวลผลรุ่นยอดนิยมของ Qualcomm อย่าง Snapdragon 695 ที่ให้ความเร็วสูงสุด 2.2GHz และมีกล้องหลัง 2 ตัว ความคมชัดสูงสุด 64MP พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 5,000mAh รองรับระบบชาร์จไว 44W
Vivo V29e มาพร้อมชิปประมวลผล Snapdragon 695 และ RAM ขนาด 8GB
Vivo V29e มือถือระดับกลางรุ่นใหม่ล่าสุดของ ค่าย Vivo ที่มาพร้อมจุดเด่นตัวเครื่องพลาสติกบางเบา ด้วยความหนาเพียง 7.6 มิลลิเมตร หนักเพียง 181 กรัม ติดตั้งหน้าจอแสดงผลแบบ AMOLED ขอบโค้งทั้งด้านซ้ายและขวา กว้าง 6.78 นิ้ว คมชัดระดับ FHD+ ใช้สัดส่วนแบบ 20:9 มีค่าความหนาแน่นเม็ดพิกเซลอยู่ที่ 388ppi รีเฟรชเรท 120Hz รองรับการแสดงผล HDR10+ ปรับความสว่างได้สูงสุดถึง 1,300nits ติดตั้งเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android 13 ครอบด้วยอินเตอร์เฟส Funtouch 13 ใช้ชิปประมวลผลรุ่นยอดนิยมของ Qualcomm อย่าง Snapdragon 695 ขนาด 6 นาโนเมตร ให้ขุมพลัง 2.2GHz ทำงานร่วมกับจีพียู Adreno 619 ใช้หน่วยความจำ RAM ขนาด 8GB และมีพื้นที่เก็บข้อมูลภายในความจุสูงสุด 256GB พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 5,000mAh รองรับระบบชาร์จไว 44W ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% ได้ภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ข่าวเทคโนโลยี มือถือ
นอกจากนี้ V29e ยังมาพร้อมกล้องหลัง 2 ตัว ความคมชัด 64MP+8MP ติดตั้งอยู่บนเลนส์กล้องทรงกลมขนาดใหญ่ 2 วง พ่วงระบบ OIS, PDAF และไฟแฟลช LED สามารถบันทึกวิดีโอความคมชัด 4K ที่ 30fps และมีกล้องหน้าความคมชัด 50MP ที่ใช้ดีไซน์แบบเจาะรูตรงกลางด้านบนหน้าจอ พ่วงระบบ AF สามารถบันทึกวิดีโอความคมชัด FHD ที่ 30fps ในส่วนของการเชื่อมต่อต่าง ๆ ก็รองรับทั้ง Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 5.1 และ USB Type-C 2.0
สำหรับVivo V29eมีด้วยกัน 2 สี ได้แก่ สีแดง (Artistic Red) และ สีน้ำเงิน (Artistic Blue) ซึ่งฝาหลังของตัวเครื่องทั้งสอง 2 สามารถเปลี่ยนสีได้เมื่อสัมผัสกับแสง UV โดยทาง Vivo มีกำหนดวางจำหน่าย V29e ในวันที่ 9 กันยายน ที่จะถึงนี้ gclub สนนราคารุ่นเริ่มต้นอยู่ที่ 300 ยูโร หรือประมาณ 11,xxx บาท ส่วนจะมีการนำเข้ามาวางจำหน่ายในบ้านเราช่วงไหนนั้น คงต้องติดตามข่าวกันอีกทีหนึ่ง
